วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2562


Learning Log 8


Monday 23th  September 2019


The knowledge gained

วันนี้อาจารย์ให้เพื่อนๆออกมานำเสนอรูปแบบการเรียนการสอนที่ได้รับค่ะ

กลุ่มที่ 1 ทักษะพื้นฐาน EF ( แสดงกิจกรรมหลอด )
คำแนะนำอาจารย์ : ทำอย่างไรให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะ EF

กลุ่มที่ 2 ทักษะพื้นฐาน EF ( เพื่อนฉีกกระดาษ )
คำแนะนำอาจารย์ : การให้เด็กช่วยทำงานบ้าน
ประสบการณ์ที่มีคุณภาพมีผลต่อการดึงเอามาใช้

กลุ่มที่ 3 Project Approach ( นำเสนอเรื่องนม )
คำแนะนำอาจารย์ : ต้องมีการวางแผนจะไปซื้ออะไร
สุดท้ายเด็กต้องบอกครูได้ว่านมคืออะไร 
ต้องมีการประเมินจากผู้ปกครอง
เด็กต้องทำอะไรได้ ต้องทำอะไรเป็น
ทำไมถึงเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ

กลุ่มที่ 4 STEM ( เรือดินน้ำมัน )
คำแนะนำอาจารย์ : ออกแบบเรืออย่างไร วางเหรียญแล้วต้องไม่จม

กลุ่มที่ 5 มอนเตสซอรี่ ( กิจกรรมวางบล็อกลงช่อง )
คำแนะนำอาจารย์ : จุดเด่นของ มอนเตสซอรี่ คืออะไร
เป้าหมาย คือ จะต้องเรียนรู้จากสิ่งของของเค้า

กลุ่มดิฉัน ไฮสโคป 


คำแนะนำอาจารย์ : ต้องมีการบันทึกว่าเด็กต้องวาดอะไร ต้องมีการวางแผน

ภาพกิจกรรมระหว่างเพื่อนๆแต่ละกลุ่มนำเสนองาน











ช่วงบ่ายอาจารย์ให้นักศึกษาร่วมกันทำเมนูอาหารจากไข่ค่ะ




เพื่อนๆมีความสุขมาก อิ่ม อร่อย ช่วยกันทำ ขอบคุณผู้สนับสนุนหลัก อาจารย์จ๋าค่ะ

อาจารย์ให้ไปหาความรู้เพิ่มเติมค่ะ


แนวการสอนแบบวอลดอร์ฟ  (Waldorf)


        นวัตกรรมการศึกษาแนววอลดอร์ฟ มีรากฐาน

มาจากมนุษยปรัชญา (Anthroposophy) โดย 

ดร.รูดอร์ฟ สไตเนอร์ (Rudolf Steiner) โรงเรียน

แนววอลดอร์ฟแห่งแรกตั้งขึ้นในช่วงสงครามโลก

ครั้งที่ 1 โดยการสนับสนุนของเอมิล มอลล์ (Emil

 Molt) การศึกษาแนววอลดอร์ฟมีเป้าหมายเพื่อ

พัฒนามนุษย์ไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ครูวอ

ลดอร์ฟจึงเริ่ม ต้นยามเช้าด้วยการมาแต่เช้าเพื่อ

เตรียมห้องเรียน และร่วมกันท่องบทกลอน เพื่อย้ำ

เจตจำนงความตั้งใจในการปฏิบัติอาชีพครู และบาง

ครั้งในบางโอกาส ในตอนเย็น ครูก็จะท่องกลอน

เพื่อนำพาจิตใจให้สงบ ครูวอลดอร์ฟรุ่นพี่ๆจะแนะนำ

ครูรุ่นน้องเสมอว่า หากเธอมีปัญหาที่แก้ไขได้ยาก

กับเด็กๆในห้องเรียนของเธอ ควรพาปัญหานี้กลับ

ไป หลับฝันไปกับปัญหานี้ เผื่อว่า...ในยามค่ำคืน 

โลกจิตวิญญาณที่เธอได้สัมผัสยามที่เธอหลับ จะ

ช่วยเธอได้..ด้วยเชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นงานใดๆ หาก

เริ่มต้นด้วยความตั้งใจ มีเจตจำนงอันมุ่งมั่นเพื่อจะ

ทำสิ่งนั้น การงานเหล่านั้นย่อมขับเคลื่อนต่อไปได้

เหมือนล้อหมุนได้ขยับขับออกจากที่จอดแล้ว

 ระหว่างทางเป็นประสบการณ์ที่น่าเก็บเกี่ยว 

เพลิดเพลินเผชิญอุปสรรคไปอย่างคนรู้ตัว ฝึกสติไป

กับการงานที่ทำตรงหน้า ยิ้มรับกับโชคชะตาที่ได้มา

เดินในเส้นทางสาย “ ครู ”



การศึกษาแนววอลดอร์ฟคืออะไร?

            นวัตกรรมการศึกษาแนววอลดอร์ฟมี

รากฐานมาจากมนุษยปรัชญา 

(Anthroposophy)โดย ดร.รูดอร์ฟ สไตเนอร์

(Rudolf Steiner 1861-1925) ได้นำมาจัดการ

ศึกษาในโรงเรียนที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนามนุษย์ไป

สู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ด้วยการพัฒนากาย

(Body) จิต (Soul) และจิตวิญญาณ (Spirit)ให้

บรรลุถึง ความดี (Good) ความงาม (Beauty) ความ

จริง (Truth) แนวคิดของมนุษยปรัชญาที่เป็น

รากฐานสำคัญในการจัดการศึกษาวอลดอร์ฟ เชื่อว่า

เมื่อมองดูการเกิดและเติบโตของเด็กคนหนึ่ง เราจะ

เห็นได้ว่า กาย (Body) เป็นส่วนที่พ่อแม่เตรียมไว้ให้

ในโลก ส่วนจิตวิญญาณ (spirit) เป็นจิตเดิมแท้ของ

เด็กเองที่ มาจากโลกเบื้องบน และเชื่อมโยงกันด้วย

วิญญาณ (Soul) พ่อแม่และครูมีส่วนช่วยให้การ

เชื่อมโยงนี้เป็นไปอย่างราบรื่นกลม กลืน ความ

สำคัญของครูในอนุบาลวอลดอร์ฟ จึงต้องเรียนรู้ที่

จะเข้าใจ “เด็กตามธรรมชาติ” (Natural Childhood)

และภาวะกึ่งฝัน (Dreamy stated) ที่มีอยู่ในวัยเด็ก

การศึกษาจึงเสมือนการทำหน้าที่ปลุกให้เด็กค่อยๆ

ตื่นขึ้นมาในโลก หาวิธีเชื่อมโยงเด็กสู่โลกที่เขาได้

ลงมาเกิด ครูยังต้องใส่ใจในการเตรียมสิ่งแวดล้อม

สถานที่ อาคาร ห้องเรียน บริเวณสวน ตลอดจน

เครื่องมือเครื่องใช้ และของเล่นที่เด็กเล่น ให้เด็ก

สามารถเชื่อมโยงที่มาที่ไปในธรรมชาติได้ ตลอดจน

พลังธรรมชาติของโลก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ครูได้นำ

มาประสานในกิจกรรมต่างๆในอนุบาลวอลดอร์ฟ

อย่างมีศิลปะ เพื่อให้เด็กได้เข้าถึงธรรมชาติอัน

แท้จริงของโลก และแบ่งขั้นพัฒนาการของเด็ก

ดังนี้ 
  • (0 – 7 ปี) กาย (Body) พัฒนาผ่านพลัง เจตจำนง (Will) การมุ่งมั่นลงมือทำให้สำเร็จ
  • (7 – 14 ปี) จิต (Soul) พัฒนาผ่านความรู้สึก (Feeling) เข้าถึงความงาม และศิลปะแบบต่างๆ
  • (14 – 21 ปี) จิตวิญญาณ (Spirit) พัฒนาผ่านความคิด (Thinking) การตระหนักรู้ ในคุณธรรม ความดี 
        ครูอนุบาลยังต้องให้ความสำคัญในการจัดการ

ศึกษาให้เหมาะสมกับอายุและความสามารถตามวัย

ของเด็ก ให้เกิดความสม ดุลกัน เกณฑ์อายุของ

ระดับอนุบาลวอลดอร์ฟ คือ ก่อน 7 ขวบ หรือก่อน

ฟันแท้จะขึ้น มนุษยปรัชญายังได้เผยภาพลักษณ์

ของมนุษย์อันประกอบไปด้วย กาย 4 กาย ได้แก่

 ร่างกาย กายพลังชีวิต กายความรู้สึก กายตัวตน ถึง

แม้ว่ากายทั้ง 4 จะมาพร้อมกันเมื่อคนเราเกิดมาใน

โลก แต่ก็ค่อยๆเผยออกมาทีละกายทุกๆรอบ 7 ปี 

จนเด็กอายุ 21 ปี จึงมีกายทั้ง 4 ครบสมบูรณ์ หาก

ในระหว่างนั้น มีการสนับสนุนทางการศึกษาอย่างถูก

ต้องเหมาะสมแก่เด็ก จะยิ่งเป็นประ โยชน์ต่อการ

พัฒนาเด็กให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ในระดับอนุบาล

เป็นขั้นตอนที่กำลังสร้างร่างกายและบ่มเพาะกาย

พลังชีวิต การศึกษาสำหรับเด็กอนุบาล ควรส่งเสริม

พลังเจตจำนง (Will) ของเด็กและการรักษาจังหวะ

ในชีวิตประจำวัน (Rhythm of life) ของเด็กให้มี

ความสม่ำเสมอ นอกจากนี้ มนุษย์ยังรับรู้โลกผ่าน

สัมผัส ทั้ง 12 แต่ในระดับอนุบาล เด็กๆรับรู้ด้วย

สัมผัส 4 อย่างขั้นพื้นฐาน ได้แก่ สัมผัสรู้ที่ผิวกา

(Touch)สัมผัสรู้พลังชีวิต (Life)สัมผัสรู้การ

เคลื่อนไหว (Movement)สัมผัสรู้ความสมดุล

(Balance) ความรู้ด้านสัมผัสรู้ เป็นประโยชน์อย่าง

ยิ่ง เมื่อครูนำไปเป็นแนวทางในการจัดกิจกรรมให้

เด็กในอนุบาลวอลดอร์ฟ

การศึกษาแนววอลดอร์ฟมีที่มาอย่างไร?

            ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 โรงเรียนแห่ง

แรกตั้งขึ้นโดยการสนับสนุนของ เอมิล มอลล์ (Emil

 Molt) ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงงานยาสูบวอลดอร์ฟ

 แอสโทเรียล ที่สตุทการ์ท ประเทศเยอรมัน ถึงแม้

จะทำงานด้านอุตสาหกรรม แต่เขาก็เห็นด้วยกับ

ความคิดด้านมนุษยปรัชญาของ ดร. รูดอร์ฟ สไต

เนอร์ และต้องการเปลี่ยนทิศทางของสังคมในเวลา

นั้น เขาได้เชิญรูดอร์ฟ สไตเนอร์ไปบรรยายแนวคิด

ด้านมนุษยปรัชญาให้คนงานในโรงงานฟัง จึงเกิด

กลุ่มคนที่มีความเห็นร่วมกันว่า หากจะให้ความคิด

เช่นนี้เป็นจริงได้ ต้องให้เกิดขึ้นในคนรุ่นหลัง เขาจึง

จัดตั้งโรงเรียนขึ้นในโรงงาน ชื่อโรงเรียนวอลดอร์ฟ

ดำเนินการสอนลูกหลานของคนงาน ตั้งแต่ปีค.ศ. 

1919 เป็นการศึกษาระดับประถม ซึ่งต่อมาภายหลัง

ได้ขยายแนวคิดมาในระดับอนุบาล จนบัดนี้กว่า 90

ปีแล้ว การศึกษาวอลดอร์ฟ ทั้งระดับประถมและ

อนุบาลได้แผ่ขยายไปทั่วโลก

บทบาทครู ( 3 R ) ได้แก่
  1. การทำซ้ำ (Repetition) เพื่อให้เกิดมั่นคง ครูควรทำกิจกรรมการเรียนการสอนและงานบ้านต่างๆอย่างสม่ำเสมอ หรือเรียกว่าการทำซ้ำ
  2. จังหวะ (Rhythm) เพื่อให้สิ่งแวดล้อมมีบรรยากาศอบอุ่นและผ่อนคลาย เหมาะสมกับธรรมชาติของวัยเด็ก ครูควรจัดตารางประจำวัน ตารางกิจกรรมในสัปดาห์ และเทศกาลประจำปี ให้สอดคล้องกับจังหวะที่ราบรื่นแบบลมหายใจเข้าและออก ให้ตารางของช่วงนั้นๆเหมาะสมลื่นไหล ไม่อัดแน่นหรือติดขัด หรือเรียกว่า การรักษาจังหวะ หรือ ความรู้สึกแบบท่วงทำนอง
  3. เคารพ (Reverence) ด้วยความตระหนักรู้ที่ว่า “มนุษย์เราเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ” ทำให้เราอยู่ในโลกด้วยความรู้สึกกตัญญูและเคารพต่อธรรมชาติ ทั้งยังเคารพต่อศักยภาพของความเป็นมนุษย์
การศึกษาแนววอลดอร์ฟมีประโยชน์ต่อเด็กอย่างไร? 
        มีคนกล่าวว่า ณ วันแรกที่ตัดสินใจส่งลูกเข้าโรงเรียนวอลดอร์ฟ นั่นก็หมายความว่า เราได้ให้อิสระทางความคิดแก่ลูกไปแล้ว ดังนั้นประโยชน์ที่เด็กได้รับจากการศึกษาแนววอลดอร์ฟจึงมีดังนี้ 
  • เด็กมีอิสระ พัฒนาตนเต็มศักยภาพที่ตนมี 
  • เด็กมีความคิดแยบคาย สดใส มีพลังและสร้างสรรค์ 
  • เด็กมีความเมตตา กล้าหาญ ใฝ่รู้ เอื้ออาทร 
        การศึกษาแนววอลดอร์ฟไม่ได้วัดความสำเร็จของการศึกษาจากผลการเรียนรู้ แต่มุ่งดึงศักยภาพ ซึ่งแฝงเร้นอยู่ในตัวเด็กแต่ละคนให้แสดงออกมา ทำให้เด็กค้นพบพลัง ความกระตือรือร้น และปัญญาที่ตนเองมีอยู่ เพื่อนำมาซึ่งคุณภาพสูงสุดของตัวเขาเอง


พ่อแม่ ผู้ปกครองจะนำการศึกษาแนววอลดอร์ฟมาประยุกต์ใช้กับลูกได้อย่างไร?
        ปัจจุบันปัญหาสังคมและภาวะวิกฤติด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านคุณธรรม จริยธรรม ด้านสุขภาพอนามัย ด้านสวัสดิภาพและสิทธิพื้นฐาน ด้านสติปัญญาและความสามารถในการรู้คิด ล้วนมีผลกระทบอย่างยิ่งต่อเด็กไทย เพื่อให้การอบรมเลี้ยงดูและการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับเด็กอนุบาลเป็นไปอย่างเหมาะสม พ่อแม่จำเป็นต้องคำนึงถึงหลักพัฒนาการเด็กตามธรรมชาติ หรือ Natural Childhood โดยภาพรวม เด็กอายุก่อน 7 ปี อยู่ในช่วงที่ร่างกายยังมีฟันน้ำนม และก่อนที่ฟันแท้จะขึ้นเมื่อใกล้ 7 ปีนั้น ขอให้พ่อแม่ระมัดระวังสิ่งเร้าที่ไม่เหมาะสมจากสังคมที่ห้อมล้อมรอบตัวเด็ก กำหนดขอบเขตให้ชัดเจน อย่าให้ลูกหลงใหลไปกับสิ่งที่จะทำลาย พลังเจตจำนง ( Will )ไปเสียโดยง่าย ด้วยสัญชาติญาณของความเป็นพ่อแม่ ขอให้ห้ามในสิ่งที่ควรห้าม และให้ในสิ่งที่ควรให้ เท่ากับได้ช่วยกันสร้างสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมปลอดภัยกับภาวะกึ่งฝันตามธรรมชาติของวัยเด็ก ด้วยภาวะกึ่งฝันนี้ เด็กจะรับทุกเรื่องทั้งดีและไม่ดี โดยยังไม่สามารถแยกแยะเองได้ พ่อแม่จึงต้องกระทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง นอกจากนี้ การเอาใจใส่ดูแลสังเกตเด็กอย่างละเอียด จะเห็นได้ว่าเด็กมีความเฉพาะแต่ละบุคคลที่ไม่เหมือนกัน แม้เป็นพี่น้องในครอบครัวเดียวกันก็ยังแตกต่างกัน ถ้าพ่อแม่เข้าใจและให้การดูแลที่เหมาะกับลูกคนนั้นๆ เด็กก็จะมีโอกาสพัฒนาตนเองตามลำดับขั้นของพัฒนาการทุกด้านอย่างสมดุลและเต็มศักยภาพ และที่สำคัญ ขอให้มีความสุขในการเลี้ยงลูก

Assessment


Self-assessment : มีความสุขตั้งใจเรียน สดใส ไม่เครียดค่ะ

Evaluate friends : เพื่อนๆตั้งใจเรียน มาเรียนกันตรางตามเวลา มีความสุข สดใส ร่าเริง เพื่อนๆทุกคนให้ความร่วมมือดีมากค่ะ


Evaluate teachers  :  วันนี้อาจารย์อธิบายสอนเข้าใจ ให้คำแนะนำได้ดีมากค่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น